พระพุทธเจ้า...สอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์
โดย โ ก ศ ล ศ รี พ ง ษ์ พิ จิ ต ร
คำสอนของพระพุทธเจ้า... ที่อยู่ในพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม... มีทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์... เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่.... พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้แล้ว... เห็นแจ้งแล้ว... เพราะพระพุทธเจ้าเป็น... สัพพัญญู... และพระพุทธเจ้าเป็น... โลกวิทู... คือ... รู้ทุกอย่าง... ในโลกและจักรวาลนี้... คำสอนของพระพุทธเจ้า... ฟังดูแล้วง่ายแต่ลึกซึ้ง... ถ้าคนมีปัญญามาก... เหมือนในสมัยพุทธกาล... แค่ฟังครั้งเดียว... ก็สามารถบรรลุ... เป็นพระอรหันต์ได้คราวละเป็นพัน ๆ คน...
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วทุกอย่างในโลกนี้และตรัสรู้ทุกอย่างในตัวมนุษย์เรา... ในสมัยที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ... พระพุทธเจ้าก็หนักใจเหมือนกันว่า... ความรู้ที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมีมากมาย... เหมือนใบไม้ในป่าทั้งป่า... จึงยากที่คนธรรมดา... ทั่วไปจะเข้าใจได้... ความรู้ที่มนุษย์รู้มีเพียงกำมือเดียว...
แต่สุดท้ายพระองค์ท่านก็สามารถล่วงรู้ได้ว่า... แท้จริงแล้วมนุษย์ก็เปรียบเหมือน บัวที่มีอยู่ ๔ เหล่า... เหมือนกันเช่น...
บัวเหล่าที่ ๑ คือ... บัวพ้นน้ำ... พระพุทธเจ้าตรัสว่า... บัวเหล่านี้เปรียบเหมือนคน.... ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว... เป็นสัมมาทิฏฐิ... เมื่อได้ฟังธรรม... ก็สามารถรู้และเข้าใจ... ในเวลาอันรวดเร็ว...
บัวเหล่าที่ ๒ คือ.... บัวปริ่มน้ำ... คือ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง... เป็นสัมมาทิฏฐิ... จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลา... อันไม่ช้าซึ่งจะบานในวันถัดไป...
บัวเหล่าที่ ๓ คือ... บัวใต้น้ำ... คือ พวกนี้จะมีสติปัญญาน้อย... แต่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิ... เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม... และได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ... มีความขยันหมั่นเพียร... ไม่ย่อท้อ... มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา... และในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้วันหนึ่งในภายภาคหน้า...
บัวเหล่าที่ ๔ คือ... บัวใต้โคลนตม... พวกนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า... เป็นพวกที่ไร้สติปัญญาและยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ... แม้ได้ฟังธรรม... ก็ไม่อาจเข้าใจความหมาย... หรือรู้ตามได้... ทั้งยังขาดศรัทธา... ไร้ซึ้งความเพียร... ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา... ไม่มีโอกาส... โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ... เพื่อเบ่งบานได้... (ปัจจุบันบัวเหล่านี้มีเยอะ)
การปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน... ที่จะให้มีดวงตาเห็นธรรม... ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า... ที่อยู่ในพระไตรปิฏกนั้น... คงไม่ได้กำจัดอยู่เพียงแค่... บัวสี่เหล่า... ที่พระพุทธเจ้า... ตรัสไว้... แต่ปัญหาที่ชาวพุทธยังใม่สามารถเข้าถึงคำสอน... ของพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริงนั้นคือ... การไม่อ่านและ... ไม่ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแท้จริง... ว่าแท้จริงแล้ว... พระพุทธเจ้าสอนอะไร...? พระพุทธเจ้าสอนใคร...? และพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร...?
คำสอนที่ถูกต้อง... คือคำสอนที่อยู่ใน... พระไตรปิฎก... และ... พระไตรปิฎกก็คือคัมภีร์... ที่มีไว้ประจำศาสนาพุทธ... พระไตรปิฎกมีไว้... เพื่อให้อ่าน... พระไตรปิฎกมีไว้... เพื่อให้เราศึกษาเรียนรู้... ตามคำสอนที่ถูกต้อง... ของพระพุทธเจ้า... พระไตรปิฎกไม่ใช่มีไว้เพื่อเก็บ... พระไตรปิฎกไม่ใช่มีไว้ในตู้... และ... พระไตรปิฎก... ไม่ใช่มีไว้ในหอไตร... แล้วล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา...
ปัจจุบันเราจะเห็นการปฏิบัติธรรม... จะแยกออกเป็นสาย ๆ... เช่น... สายของหลวงพ่อองค์นั้น... สายของหลวงพ่อองค์นี้... ไม่ค่อยมีใครพูดถึงสายของพระพุทธเจ้าเลย... ว่า... พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร...? และพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร...? ความจริงแล้ว... พระพุทธเจ้าเป็นผู้... รู้จริง... รู้แจ้ง... พระพุทธเจ้าตรัสแล้วไม่คืนคำ... พระพุทธเจ้าตรัสหนึ่ง... ต้องเป็นหนึ่ง... ไม่มีสอง... พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า... อาจจะ... คงจะ... หรือ... คาดว่า... พระพุทธเจ้าไม่ได้... คิดเอา... เดาเอา... หรือ... คาดคะเนเอา...
คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์... นั้นเป็นคำสอนที่... พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทั้งหมด... แล้วไฉนปัจจุบัน... ถึงมีการปฏิบัติธรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น... แบ่งออกเป็นนิกายต่าง ๆ... แบ่งออกเป็นสายต่าง ๆ...
ถ้าเป็นศาสนาพุทธจริง ๆ แล้ว... เป็นคนไทยที่นับถือ... ศาสนาที่อยู่ในทะเบียนบ้านจริงต้องรู้ว่า... พระพุทธเจ้าเป็น ใคร...? พระพุทธเจ้าสอนอะไร...? พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร...? ถ้ารู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์... กับการดับทุกข์... แล้วต้องรู้ถึงวิธีนั้นด้วยว่า... ดับอย่างไร...? หมายความว่า... ต้องมีวิธีเดียวเท่านั้น... ที่ดับทุกข์ได้ ไม่มีวิธีอื่น... และต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด... ทุกที่ทุกสำนักปฏิบัติ... และสำคัญที่สุดก็คือ... ผลของการปฏิบัติต้อง... ออกมาเหมือนกันหมด... คือ... ดับทุกข์ได้...
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง... ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์... นั้นคือ... ตัวหรือองค์ของพระพุทธเจ้าเอง... และถ้า... ใครนำเอาคำสอนที่ถูกต้องไปปฏิบัตินั่น... หมายถึง... ท่านนำเอาพระพุทธเจ้ามาเก็บไว้... ในตัวท่านอยู่ตลอดเวลา... เพราะ... พระธรรม... หมายถึง... คำสอนที่... พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว... เห็นแจ้งแล้ว... ถูกต้องแล้ว... และได้ผลออกมาคือ... ดับทุกข์ได้แล้ว... คือองค์ธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว... นั่นเอง...
ดังเช่น... สูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสก่อนที่พระองค์... ท่านจะปรินิพพานไว้ว่า... ภิกษุทั้งหลายเมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว... พระธรรมและพระวินัยทั้ง... ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์... จะเป็นครูสอนแทนตัวเรา... ภิกษุทั้งหลายอย่าได้คิดว่า... พระศาสดาของเราปรินิพพานแล้ว... พระศาสนาของเราจะไม่มีด้วย... เพราะแท้จริงแล้วธรรมก็ดี... วินัยก็ดี... ที่เราได้แสดงและบัญญัติเอาไว้... จะเป็นพระศาสดาแทนตัวเราต่อไป...
ภิกษุทั้งหลาย... เธอทั้งหลายจงมีธรรมและวินัย... เป็นที่พึ่งเทอญ... อย่าได้มีสิ่งอื่นใดเป็นที่พึ่งเลย... แม้แต่ตถาคตเองก็ได้เป็นแค่ผู้บอกทางเท่านั้นเอง...
หมายความว่า... คำสอนที่ถูกต้องและครบถ้วนที่นำไป... ปฏิบัติแล้วสามารถดับทุกข์ได้... คือ... องค์ของพระพุทธเจ้าเอง... แล้วคำสอนที่มันดับทุกข์ได้ที่... ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... ก็คือ การวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรย์ ๖... หรือวิปัสสนา... ไม่เที่ยงเกิดดับที่... ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... นั่นเอง...
พระธรรมคำสอนอันไหน... ที่นำไปปฏิบัติแล้วดับทุกข์... ไม่ได้หมดแสดงว่า... ไม่ใช่แก่นแท้ของ... คำสอนของพระพุทธเจ้า... เป็นได้แค่กระพี้หรือ... เปลือกของคำสอนเท่านั้นเอง...
ถ้าเรานำเอาคำว่าไม่เที่ยงเกิดดับมาเก็บไว้... ที่ใจเราอยู่ตลอดเวลา... นั้นหมายถึงเราได้... บูชาพระพุทธเจ้า... พระธรรมเจ้า... พระสงฆเจ้า... อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน...
ผู้เขียนขอแนะนำเรื่อง... การบูชา... และ... การศรัทธา... ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า... ที่ถูกต้องว่า... การที่เราจะนับถือพระพุทธเจ้า... การที่เราจะบูชา... พระพุทธเจ้า... การที่เราจะศรัทธา... พระพุทธเจ้า... เราควรนำเอา... คำสอน... ของพระพุทธเจ้ามาเก็บไว้ในใจ... มากกว่าที่เราจะไปปฏิบัติตามคำสอนอื่น ๆ... ที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า... หรืออาจจะไปสร้างรูปเหมือน... ของพระพุทธเจ้า... เพราะแท้จริงแล้วก็เป็น... ได้แค่... อนุสาวรีย์ของพระพุทธเจ้า... เท่านั้นเอง... ท่านจะสร้างกี่ ๑๐๐ องค์ กี่ ๑,๐๐๐ องค์... ก็ยังไม่สู้ที่ท่าน... นำเอาคำสอนของ... พระพุทธเจ้า... ที่ถูกต้องไปปฏิบัติไม่ได้...
เพราะ... การสร้างอนุสาวรีย์รูปเหมือน... ของพระพุทธเจ้า... เพื่อให้ได้ระลึกถึง... พระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งดี... ครับ... แต่ก็ได้แค่ระลึกถึงเท่านั้นเอง... สู้เรานำเอาคำสอน... ของพระพุทธเจ้า... มาเก็บไว้ในตัวเราไม่ดีกว่าหรือ... เพราะ... คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น... สามารถดับทุกข์ได้... ส่วนการสร้างอนุสาวรีย์รูปเหมือน... ของพระพุทธเจ้า... เพื่อกราบไหว้... ไม่สามารถดับทุกข์... ที่ความพอใจ... และความไม่พอใจไม่ได้...
ผู้เขียน... ขอยกสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสกับ... พระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า... อานนท์... วันข้างหน้าต่อไป... แม้ว่าผู้ใด... จะสักการะบูชาเราด้วยเครื่องบูชามากมาย... สูงค่าแค่ไหน... ก็ไม่ชื่อว่าบูชาเราด้วยการบูชา...อันยิ่ง... อานนท์ผู้ใดปฏิบัติธรรม... ตามคำสอน... ของเรายิ่งนี้... ผู้นั้นซึ่งได้ชื่อว่าได้สักการบูชาเรา... ด้วยการบูชาอันประเสริฐยิ่งแล้ว...
บูชา... หมายถึง... การแสดงความเคารพนับถือ... ชื่นชม... เชิดชู... ปฏิบัติตามใน... คำสอนของ... พระพุทธ... พระธรรม... พระสงฆ์... หมายถึง... การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า... ก็คือ... การบูชาองค์พระพุทธเจ้านั่นเอง...
ดังเช่น... เจ้าชายสิทธัตถะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เพราะ... เจ้าชายสิทธัตถะ... พิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖... จึงสามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้... และพระองค์ท่านก็ได้นำเอาพระธรรมคำสอน... ไปสอนพระสงฆ์สาวกของพระองค์ท่าน... หมายความว่า... คำสอน... หรือคำว่า... ไม่เที่ยงเกิดดับ... แต่งตั้งให้เจ้าชายสิทธัตถะได้เป็นพระพุทธเจ้า... และคำว่าไม่เที่ยงเกิดดับ... คือ องค์หรือตัวพระพุทธเจ้าเอง....
อีกอย่างหนึ่งที่เราชาวพุทธยังไม่ค่อยเข้าใจกันก็คือ... การบูชา... พระพุทธ... พระธรรม... พระสงฆ์... ด้วยการกราบ... ๓ ครั้ง นั้นหมายความว่าอย่างไร...?
การกราบครั้งที่ ๑ หมายถึง... กราบองค์ของพระพุทธเจ้า... และองค์พระพุทธเจ้าก็หมายถึง... คำสอนคือ... ไม่เที่ยง... เกิดดับ...
การกราบครั้ง ๒ หมายถึง... การกราบพระธรรม... และพระธรรม... ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ... ไม่เที่ยง... เกิดดับ...
การกราบครั้ง ๓ หมายถึง... การกราบพระสงฆ์... และพระสงฆ์ หมายถึง... ผู้ที่นำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ... ไปเผยแพร่และคำสอนนั้นก็คือ... ไม่เที่ยง... เกิดดับ...
ขออธิบายเรื่อง... พระสงฆ์สาวก... คือ... พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า... นั้นต้องเป็นพระอริยสงฆ์... คือต้องได้เป็น... พระโสดาบันขึ้นไปก่อน... ถึงจะเรียกว่าพระสงฆ์... หรือพระสงฆ์สาวก... แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ... เป็นพระอริยสงฆ์... ตั้งแต่พระโสดาบัน... ยังไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์... หรือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า... ยังเป็นได้แค่พระผู้บวช... ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น...
สรุป... การบูชา... พระพุทธ... พระธรรม... พระสงฆ์... ก็คือ... การบูชา... คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง... คำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ... สอน... ให้เราเห็นความจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น... ตั้งอยู่... ดับไป... ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง... ทุกขัง... อนัตตา... ทุกสิ่งเป็นสิ่ง... ใหม่... เก่า... แตกสลาย... ทุกชีวิตเป็นหนุ่ม... แก่... ตาย... หรือย่อเป็นคำว่า... ไม่เที่ยง... เกิดดับ... นั่นเอง...
คำสอนครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า... พระพุทธเจ้าตรัสให้โอวาทแก่... พระภิกษุก่อนจะปรินิพพานไว้ว่า... ภิกษุทั้งหลาย... ตราบใดที่เธอทั้งหลาย... ยังพร้อมเพียงประชุมกันอยู่เนืองนิจ... เคารพในสิกขาบทบัญญัติอย่างเหนียวแน่น... ภิกษุผู้อาวุโสผู้ปฏิบัติดี... ปฏิบัติชอบ... ไม่ทำตนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งตัณหา... ความพอใจ... มีความปรารถนาให้เพื่อนพรหมจารี... มาสู่สำนัก... และอยู่เป็นสุข... ตราบใดที่เธอทั้งหลาย... ไม่หมกมุ่นอยู่กับการงานมากเกินไป... ไม่พอใจในการคุยฟุ้งซ่าน... ไม่พอใจในการนอนมากเกินควร... ไม่ยินดีในการคลุกคลีในหมู่คณะ... ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก... ไม่ตกอยู่ด้วยอำนาจปรารถนาชั่ว... ไม่คบมิตรเลว... ไม่หยุดความเพียร... พยายามให้บรรลุธรรมขั้นสูงขึ้นไปแล้ว... ตราบนั้นเธอทั้งหลายจะ...ไม่มีความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญอย่างเดียว...
ภิกษุทั้งหลาย... เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า... สังขารทั้งหลาย... ย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา... เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน... และประโยชน์ผู้อื่น... ให้บริบูรณ์... พร้อมด้วยความไม่ประมาทเทอญ...
อธิบายต่อว่า... คำสอนครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้านั้น... ให้เราระลึกถึง... สังขารหรือขันธ์ ๕ ของเรา... ว่ามันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา... หรือมันไม่เที่ยง... มันมีเกิดมันก็มีดับ... เป็นของธรรมดา... พระพุทธเจ้าให้เรา... รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า... ชีวิตเรามีค่าก็ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่...
ถ้าวันไหน... ถึงเวลาต้องดับสูญลงไป... ร่างกายก็เหมือนขอนไม้... ไม่มีความรู้สึกอะไร... ระลึกอะไรก็ได้... ถ้าจะยังประโยชน์ตน... และประโยชน์ผู้อื่น... ก็ทำ ณ เวลานี้... ไม่มีคำว่า... พรุ่งนี้... เพราะ... พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง... สำหรับคนที่รอคอย... การปฏิบัติธรรม... ด้วยการวิปัสสนานั้น... ทำได้ทุกที่... ทำได้ทุกวัน... เพราะอินทรีย์ ๖ คือ... ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... ของเรามีการกระทบสัมผัสอยู่ตลอดเวลา... เราก็สามารถวิปัสสนาได้ตลอดเวลา...
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาไว้ว่า... การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้ขึ้นกับกาล... และเวลา... ไม่มีฤดูเหมือนไม้ผลที่ออกลูกตามฤดูกาล... การปฏิบัติธรรมด้วยการวิปัสสนาขันธ์ ๕... และอินทรีย์ ๖ นั้น... ปฏิบัติวันนี้มีผลออกมา... เป็นวันนี้... ปฏิบัติเวลานี้มีผลออกมาเป็นเวลานี้... ไม่ขึ้นกับกาล... และเวลา... แต่ถ้าเรามัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งว่า... อายุยังน้อยยังไม่ถึงเวลา... รอแก่ก่อนค่อยปฏิบัติ... หรือปีหน้าค่อยปฏิบัติ... เดือนหน้าค่อยปฏิบัติ... พรุ่งนี้ค่อยปฏิบัติ... แสดงว่า... เราดำเนินชีวิตด้วยความประมาท... ที่ยอมให้ความพอใจ... และความไม่พอใจเข้ามา... เก็บไว้ที่ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ... อยู่ตลอดเวลา...
ที่ผมเคยบอกไว้ว่าการเกิดมาเป็น... มนุษย์นั้น... มันยากหาที่สุดของยากไม่ได้อีกแล้ว... ถ้าเรามีชีวิตอยู่... มีลมหายใจอยู่... ในขณะนี้เราต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท... เพราะเราไม่รู้ว่า... วันพรุ่งนี้จะมาถึงก่อน... หรือชาติหน้าจะมาถึงก่อนกันแน่... เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ได้ ลั้นลา...! กับโลกใบนี้อีก... หรือเปล่า...? ถ้าเราไม่ปฏิบัติในเวลานี้... และในขณะนี้... ถือว่าเราประมาทกับชีวิตเป็นอย่างมาก...
แล้วคนที่ไม่ปฏิบัติ... ท่านอย่าได้หวังว่าชาติหน้า... จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก... เพราะ... การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕... และอินทรีย์ ๖ นั้น... เป็นการดับความพอใจ... และความไม่พอใจ... ถ้าปฏิบัติก็ดับได้... ถ้าไม่ปฏิบัติก็ดับไม่ได้... ความพอใจ... และความไม่พอใจ... เป็นเหตุ... เป็นปัจจัย... ให้ไปเกิดในนรก... หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน... เหมือนจับไปวางไว้... นั้นแสดงว่าถ้าพ้นจากชาตินี้... ไปแล้วถ้าไม่ปฏิบัติ... ชาติหน้าหมดสิทธิ์...? แล้วไม่รู้ว่าอีกกี่ปี... กี่ชาติ... จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก... แล้วถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้มาพบ... พระพุทธเจ้า... มาพบคำสอนของพระพุทธเจ้า... และมาพบคนบอกทางที่ถูกต้องอีกหรือไม่... โลกนี้แตกไปแล้วเราอาจจะยังใช้กรรมไม่หมด... เราอาจจะยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็ได้...
ดังนั้นผู้เขียน... จึงขอเตือนผู้อ่านให้มั่น... ว่า... จงอย่าประมาทกับชีวิตที่เหลือ... เพียงน้อยนิด... เลย...
ข้อมุลจาก : โกศล ศรีพงษ์พิจิตร www.doisai.com