โดย ธ. ธรรมรักษ์
การห้อยพระกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธนั้นถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากที่สุดเรื่องหนึ่ง หลายคนลืมตามาดูโลกก็อาจได้ของขวัญชิ้นแรกเป็นพระเครื่ององค์เล็ก ที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือญาติสนิทคล้องรับขวัญเพื่อให้ชีวิตนับต่อนี้ไปมีแต่เรื่องมงคล เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต และปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง
ทำไมคนในทุกยุคถึงเชื่อว่า พระเครื่องที่ทำจากดิน จากปูน จากโลหะชิ้นเล็กๆ ถึงจะมีพลานุภาพขนาดนั้น เราต้องย้อนกลับไปดูที่มาของวัตถุประสงค์ของการสร้างพระนั้นให้เข้าใจ เราจึงจะทราบว่าพระที่เราห้อยนั้น มีพลานุภาพและจำเป็นต่อชีวิตเพียงใด
การสร้างพระนั้นซึ่งเริ่มจากการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาก็ได้ลดขนาดลงเพื่อให้สะดวกในการพกพาซึ่งนิยมเรียกกันว่าพระเครื่องตามประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกนั้นมีการสร้างกันครั้งแรก หลังจากที่พระพุทธเจ้านั้นเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
เพราะในสมัยต่อมานั้น เป็นยุคของศาสนาอื่นในอินเดียมีอำนาจและต้องการลบล้างพระพุทธศาสนาเพราะมี ความเชื่อที่ขัดแย้งกัน เพราะพระพุทธเจ้านั้นสอนให้คนทราบว่า อันชะตาชีวิตของคนเรานั้น จะชั่วหรือดี จะทุกข์หรือสุข จะรวยหรือจนนั้นมาจากกรรมหรือการกระทำของคนทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใด
ในขณะที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูบอกว่ามาจากพระบัญชาของพระเจ้า มีการแบ่งวรรณะคนอย่างชัดเจน คนไม่สามารถเลื่อนขั้นหรือเพิ่มศักยภาพในชีวิตได้ ต้องรอพระเจ้าอย่างเดียว ซึ่งพระพุทธองค์ได้ประกาศศาสนาพุทธเพื่อปลดแอกคน ปลดแอกความเชื่อเหล่านี้ด้วยกฎแห่งกรรม ซึ่งทำให้พวกพราหมณ์และคนที่มีอำนาจของอินเดียนั้นรับไม่ได้ เพราะกลัวสูญเสียอำนาจที่กดขี่คนของตนไว้ถึงขั้นเอาเรื่องของการอวตารของพระนารายณ์ในปางที่ 9 มาบิดเบือนว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาของเขา เพื่อรวมกับศาสนาของเขาดังที่เคยกลืนศาสนาพราหมณ์จนสำเร็จมาแล้วในอดีต
จึงมีพระสงฆ์คณะหนึ่ง ได้สร้างตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพื่อใช้ในการยึดเหนี่ยวจิตใจในการสืบทอดพระศาสนาที่กำลังโดนคุกคาม และอีกวัตถุประสงค์หนึ่งในการสร้างขึ้นมานั้นก็เพื่อระลึกถึงพระเมตตา พระกรุณา พระบารมีและคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มิได้มีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่ออิทธิปาฏิหาริย์หรือการอื่นใด
การสร้างพระในสมัยนั้นคงต้องคอยระวัง ต้องคอยหลบซ่อนคนที่มีอำนาจในตอนนั้นเพราะเกรงถึงภัยอันตรายอันใหญ่หลวง จึงคาดว่าน่าจะเป็นที่มาของการลดขนาดพระให้เล็กลง เพื่อให้สามารถพกพาหรือสามารถซ่อนได้เมื่อยามถูกตรวจค้นกวาดล้าง รวมถึงการสร้างพระเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกันได้
และในขณะที่สร้างพระนั้น ก็ยังได้นำพระพุทธมนต์ที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์สืบทอด ต่อกันมา มาสวดเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล และเป็นการสร้างแบบง่าย ๆ โดยการใช้ดิน โลหะ ไม้หรือวัสดุอื่นที่พอหาได้ในยุคนั้น
แต่ก็ยังมีตำนานการสร้างพระ ที่เชื่อว่ามีการสร้างพระมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล คือ ตำนานพระแก่นจันทร์ที่เชื่อว่าเป็นการสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เรื่องในตำนานมีอยู่ว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปทรงเทศนาโปรดพระพุทธมารดา บนดาวดึงส์สวรรค์พรรษาหนึ่งนั้น
พระเจ้าประเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล มีความรำลึกถึงพระพุทธองค์ ด้วยมิได้ทรงเห็นเป็นช้านาน จึงตรัสให้นายช่างทำพระพุทธรูปขึ้นด้วยไม้แก่นจันทน์แดง(พระแก่นจันทร์) ประดิษฐานไว้เหนืออาสนะที่พระพุทธองค์เคยประทับ
ครั้นพระพุทธองค์เสด็จกลับลงมาจากดาวดึงส์ถึงที่ประทับ ด้วยพระบรมพุทธานุภาพ ก็บันดาลให้พระพุทธรูปแก่นจันทน์ เลื่อนหลีกจากพระพุทธอาสน์ จึงตรัสสั่งให้รักษา พระพุทธรูปพระแก่นจันทร์นั้นไว้ (เป็นที่มาของ”พระพุทธรูปปางห้ามแก่นจันทร์”) เพื่อสาธุชนจะได้ใช้เป็นแบบอย่าง สร้างพระพุทธรูปสืบไป นับเป็นการสร้างพระพุทธรูป เป็นครั้งแรก พระแก่นจันทร์ ถือเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของโลก
แต่ตำนานพระแก่นจันทร์นี้ บางท่านกล่าวว่าเป็นเพียงตำนาน ที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับพระแก่นจันทร์ก็สันนิษฐานกันว่า พระพุทธรูป นั้น เริ่มสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ตั้งแต่สมัยคันธารราฐ ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ทางตอนเหนือ ของอินเดียโบราณ (ปัจจุบันอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานและตะวันออกของอัฟกานิสถาน)
ผู้ริเริ่มสร้างไม่ใช่ชาวอินเดียแต่เป็นพวกกรีกหรือโยนก สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์หรือพระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีกแห่งแคว้นคันธาระหรือคันธาราฐ พระองค์เป็นต้นกำเนิดของหนังสือหรือคัมภีร์ “มิลินทปัญหา“ (เดิมทีนั้นพระเจ้ามิลินท์มิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซํ้าไป เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่างๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลัทธิศาสนาต่างๆในเรื่องศาสนาและปรัชญา ปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้
จนกระทั่งคณะสงฆ์เลือกพระเถระผู้สามารถรูปหนึ่งมายังเมืองสาคละ เพื่อสนทนาเรื่องศาสนาและปรัชญากับพระเจ้ามิลินท์ พระเถระผู้นั้นคือ “พระนาคเสน “ เมื่อพระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นเสด็จไปสนทนาเป็นเชิงปุจฉาวิสัชนา อภิปรายกันขึ้นเป็นเวลาหลายวัน ผลปรากฏว่า พระเจ้ามิลินท์ยอมแพ้พระนาคเสน ข้อสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ เรียกว่า “มิลินทปัญหา”)
ตำนานพระแก่นจันทร์ นั้นอ้างถึงสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นครั้งแรกตามพระบรมพุทธานุญาตแต่สมัยพุทธกาล แต่ทว่ายังคงขัดต่อหลักฐานทางศิลปกรรมในพระพุทธศาสนา ที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการค้นพบทางโบราณคดีใน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะไม่พบว่ามีการสร้างพระพุทธรูปแต่อย่างใด มีแต่ทรงทำรูปสัญลักษณ์อื่นๆ เช่น รอยพระพุทธบาทธรรมจักร เป็นต้น สมมติแทนพระพุทธรูปทุกแห่งไป
ข้อนี้อาจจะพิสูจน์ให้เห็นว่าประเพณีในการสร้างพระพุทธรูปยังไม่มีในสมัยพุทธกาล หรือยังเป็นข้อห้ามอยู่ในมัชฌิมประเทศจนถึงพ.ศ. ๔๐๐ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่าตำนานเรื่องพระแก่นจันทร์นั้น น่าจะเกิดขึ้นต่อสมัยเมื่อที่มีคตินิยมในการสร้างรูปพระพุทธเจ้าเป็นรูป มนุษย์ หรือพระพุทธรูปแพร่หลายแล้วในภายหลัง
สำหรับพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมามีรูปแบบที่ต่างไปตามสถานที่ อย่างชาวกรีกทำพระศกเป็นเส้นผมเหมือนคนสามัญชน แต่ชาวอินเดียเห็นว่าไม่งามได้ดัดแปลงพระศกเป็นรูปก้นหอย รูปหน้าเปลี่ยนเป็นหน้าคนอินเดีย สำหรับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับแบบอย่างการสร้างพระพุทธรูปก็ได้ดัดแปลงแก้ไขไปตามเห็นสมควรทำให้ เกิดพระพุทธรูปแบบต่างๆ ขึ้นมากมายทั้งในลังกา ในจีน ธิเบต เวียดนาม และไทยรวมถึงที่อื่นจวบจนมาถึงทุกวันนี้
สำหรับคำว่า “พระเครื่อง” ที่เข้าใจกันดีว่าเป็นพระขนาดเล็กที่ใช้ห้อยคอติดตัวนั้นมาจากคำว่า “พระเครื่องราง” หมายถึง พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นับถือว่าเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตราย โดยในสมัยเริ่มแรกนั้น พระพุทธรูปนั้นถูกสร้างขึ้นในลักษณะของพระพิมพ์ที่สร้างไว้เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา
ต่อมาในภายหลัง มีการนำอักขระและศาสตร์บางอย่างของทางพราหมณ์เข้ามาร่วมพิธี เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อการสวดพระพุทธมนต์นี้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศลังกา ราว พ.ศ. 500 ด้วยที่ว่าชาวลังกาที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้น ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิดสิริมงคลและป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์และคาถาตามแบบอย่างพราหมณ์ซึ่งมีความเชื่อว่า ผู้ทรงเวทจะทำให้เกิดสิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้
เพราะในความเป็นจริงแล้วศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์นั้นใกล้ชิดกันมา ตั้งแต่เริ่มประกาศพระพุทธศาสนาแล้วคนทั่วไปในชมพูทวีปก่อนหน้านั้นก็นับถือศาสนาพราหมณ์ และปวงเทพทั้งหลาย
ในศาสนาพุทธก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการมีอยู่ของเทพเทวดา และวิญญาณอื่นๆ ที่เป็นอมนุษย์ แต่แสวงหาการดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นที่มาจากภายในตนเองมิได้หวังพึ่งพาอำนาจภายนอกเหล่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามนอกจากการสร้างพระอัญเชิญพระพุทธมนต์แล้ว ยังได้มีการจารตัวอักขระที่ย่นย่อมาจากบทพระพุทธมนต์ เพราะเชื่อกันว่าด้วยพลานุภาพของพุทธมนต์นั้นจะสถิตอยู่ในพระองค์นั้น และช่วยคุ้มครองและอวยพรให้กับคนที่สวมใส่
ความเชื่อนี้ดำรงต่อมาเป็นเวลานับพันปี และเชื่อกันว่าพระเครื่องหรือ “พระพิมพ์ “ นั้นจริงๆ แล้วเกิด ขึ้นมาประมาณ 1,000 กว่าปี ร่วม 2,000 ปีหรืออาจจะก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า ในประเทศไทยนั้น มีคติความเชื่อในการนำพระพิมพ์ต่างๆไปปลุกเสกสร้างเป็นพระเครื่องกันตั้งแต่ สมัยใด แต่หากศึกษาจากการพบพระเครื่องสมัยโบราณทั่วประเทศและในต่างประเทศที่ อินเดีย ลังกา เนปาล ก็จะพบว่า คติความเชื่อในการสร้างพระเครื่องนั้นมีมายาวนานนับพันปีแล้ว
โดยได้อิทธิพลในการสร้างมาจากการผสมผสานแนวคิดในพระพุทธศาสนาทั้งเถรวาท และมหายาน ร่วมกับแนวคิดในลัทธิบูชาบรรพบุรุษ ลัทธิวิญญาณนิยม ลัทธิบอน ที่เชื่อในเรื่องผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในธรรมชาติ รวมทั้งแนวคิดความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ในศาสนาพราหมณ์
การสร้างพระเครื่อง ในประเทศไทยนั้น แต่เดิมไม่มีความประสงค์ จะสร้างเพื่อจำหน่าย เหมือนดังกล่าวข้างต้น พุทธศาสนิกชนคนไทย สร้างพระพิมพ์ขึ้น เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้ถาวร จึงสร้างพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก ฝังไว้ในพระเจดีย์ โดยถือว่า เมื่อพระเจดีย์ล้มสลาย หายสูญไปแล้ว ภายหลังมีใครไปขุดพบพระพิมพ์ ที่สร้างไว้ ก็จะได้รู้ว่า พระพุทธศาสนา เคยประดิษฐานในที่นั้น เป็นเหตุให้น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณสืบต่อไป
มีการค้นพบหรือกรุแตกมากมายในเมืองไทย ที่พอจะยืนยันว่า การสร้างพระนั้นมีมานับพันปีขึ้นไป อาทิเช่น กรุพระธาตุนาดูร จ.มหาสารคาม ที่มีการพบพระพิมพ์ดินเผากรุพระนาดูนที่ขุดพบเมื่อปี พ.ศ. 2522นั้น เป็นพระพิมพ์ดินเผาฝีมือช่างประจำราชสำนัก สร้างไว้เพื่อเป็นพุทธบูชาสืบต่อพระพุทธศาสนา พระพิมพ์ดินเผากรุพระนาดูน มีพุทธศิลป์ ลวดลายลีลาอ่อนช้อยสวยงามและเป็นศิลปะสมัยทวาราวดีมีอายุอยู่ในราวพุทธ ศตวรรษที่ 12–16 หรือประมาณ 1,300 ปี
เนื้อพระพิมพ์แข็งแกร่งมาก พระพิมพ์บางองค์กลายเป็น เนื้อหิน สีเนื้อพระพิมพ์มี 5 สี คือสีหิน(น้ำตาลแก่) สีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองมันปู สี ชมพู สีแดงหินทราย และสีขาวนวล (สีเท่าอ่อน) ในพระพิมพ์เกือบทุกพิมพ์จะมี รูปเจดีย์ และสถูปจำลองปรากฎอยู่เสมอ และเป็นพระพิมพ์เล่าเรื่องพุทธประวัติที่มีความ หมายอยู่ในตัว พระพิมพ์ดินเผากรุพระนาดูนที่ขุดพบได้นำตัวอย่างไปวิเคราะห์หาส่วนผสม
จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีปรากฏว่า ส่วนผสมหลัก ได้แก่ ศิลาแลง ดินเหนียว แกลบข้าว ทราย กรวด ในตัวอย่างบางชิ้นนั้นมีเมล็ดข้าวผสมอยู่ ด้วยส่วนผสมที่ใช้มากได้แก่ ทราย ซึ่งเมื่อเผาแล้วจะทำให้เนื้อดินมีความแกร่งมาก ลักษณะการเผาจะเผาแบบกลางแจ้งอุณหภูมิไม่คงที่ จึงทำให้สีของพระพิมพ์ดินเผาแตกต่างกัน ส่วนประกอบเหล่านี้คงทำให้พระเครื่องนั้นมีอายุยืนนานและคงสภาพเป็นรูปได้ดี จนถึงปัจจุบัน
เป็นที่เชื่อกันว่าคนไทยนั้นเริ่มนิยมสะสมพระเครื่องกัน เพื่อใช้ในการป้องกันศาสตราภัยและความคงกระพันชาตรีมาก คงจะเริ่มตั้งแต่ในสมัยอยุธยา เพราะในสมัยนั้นมีการศึกสงครามมากและตลอดเวลาด้วย เชื่อว่า มีการสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทหารที่จะไปสู้รบใน สงคราม
ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และการแคล้วคลาด อาวุธทั้งหลายยิงและแทงไม่เข้านั้น ส่วนหนึ่งเชื่อกันว่านอกจากพุทธคุณในองค์พระแล้ว ก็น่าจะเป็นการที่พระเครื่องบางองค์นั้นมีส่วนผสมในองค์พระที่มาจากว่าน สมุนไพร และโลหะบางชนิดที่มีสรรพคุณวิเศษในการทำให้เกิดปาฏิหาริย์บางอย่างได้ เรื่องเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ขอแนะนำว่าไม่ควรลบหลู่เป็นอย่างยิ่ง